top of page

เหตุผลที่หญิงมาทำตรงนี้ เพราะหญิงเคยผ่านจุดที่คุณอยู่มาก่อน...

สตอรี่ของหญิงอาจจะคล้ายกับเรื่องราวของหลายๆคน ที่เริ่มจากการลดความอ้วนด้วยความรู้สึกไม่ชอบตัวเอง ลดแล้วตะบะแตก วนไปเป็นวงจรอุบาท จนสุดท้าย เป็นบินจ์มา 2 ปีเต็ม

เคยบินจ์หนักสุดคือ กินจนเข้าห้องพยาบาลที่สยามพารากอน

หญิง วริญญา วงศ์วุฒิไกร

Certified Eating Disorder Specialist

Certified Aromatherapist

สวัสดีค่ะ หญิงจะมาเล่าประสบการณ์การเป็นบินจ์ให้ทุกคนอ่านนะคะ

พื้นฐานหุ่นของหญิงคือ เป็นเด็กที่ผอมมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แม่ของเพื่อนๆก็ชอบชมว่าหญิงผอม กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เป็นความภูมิใจของหญิงมากๆ

ช่วงประมาณ ป.5 เป็นช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่น ที่หญิงเริ่มถูกทักว่าน้ำหนักเยอะเท่าผู้ชาย ตัวใหญ่ ตอนนั้นเสียความมั่นใจมากๆเลยค่ะ และคิดว่า ได้เวลาของการเข้าสู่วัยรุ่นแล้วสินะ... "ช่วงเวลาของการลดน้ำหนักมาถึงแล้ว..."

 

ตั้งแต่ช่วง ป.5 จนถึงประมาณ ปี 1 หญิงผ่านการลดน้ำหนักแบบใช้ยาลดน้ำหนัก การกินคุมแคลแบบผิดๆตามในเน็ต การกินคลีนแบบสุดโต่ง และการกินคีโต

ช่วง ม.5 หญิงเริ่มมีอาการกินที่ผิดปกติ เริ่มมีความคิดแปลกๆในช่วงกินคีโต มันเริ่มจากตอนที่หญิงตั้งใจกินคีโตแบบสุดโต่ง หญิงน้ำหนักลดจาก 60 กิโล เหลือ 56 กิโล และหญิงต้องไปเที่ยวต่างประเทศกับที่บ้านพอดี 

หญิงเลยคิดว่า ช่วงที่ไปเที่ยวนี่แหละ จะหลุดให้สุด กินของหวานที่อยากกินมานานให้หนำใจ แล้วค่อยกลับมาลดใหม่ก็แล้วกัน แล้วมันก็เป็นไปตามนั้นค่ะ 

น้ำหนักหญิงขึ้นจาก 56 กิโลมาเป็น 59 กิโล แทบจะเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอาการ Binge Eating Disorder...

หลังจากวันนั้น หญิงมีการใช้ชีวิตไปกับการหมกมุ่นเรื่องอาหาร แพลนมื้อต่อมื้อใส่ในแอปที่แทร็คแคลลอรี่ พกอาหารไปกินเองที่โรงเรียนทั้งๆที่เค้ามีข้าวให้กิน ชั่งตวงทุกอย่างแม้กระทั่งแคลลอรี่ในเกลือ พกตราชั่งไปร้านชาบู 

วันไหนที่หญิงจะไปกินข้าวกับเพื่อนนอกบ้าน หญิงจะวางแผนกินอย่างเดียว ปักหมุดร้านแต่ละร้าน และไปกินตามที่ตั้งเป้าไว้ ถึงแม้ว่าจะอิ่มแล้วก็ยัด เพราะรู้ว่า "พรุ่งนี้จะไม่ได้กินแล้ว"

IMG_4183.HEIC
0bc80277-afd1-427e-a64a-8c79b693f6d5.JPG

กินจนเข้าห้องพยาบาล มีอยู่จริง

มีครั้งหนึ่งหญิงไปกินบุฟเฟต์กับเพื่อน หญิงตั้งใจว่าหญิงจะกินให้แน่นๆ เพื่อที่จะได้จบในมื้อเดียวและทำ IF ต่ออีก 36 ชั่วโมง

วันที่ไปตื่นเต้นมาก เหมือนคนไม่เคยกินอาหารนอกบ้านมาก่อน พอเพื่อนสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย อาหารมาถึง หญิงกินแบบไม่คิดชีวิต... แทบจะไม่ได้เคี้ยว กินเร็วมากๆ และไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกินอะไรเข้าไป รู้สึกอร่อยมากในตอนที่กิน และหลังจากกินเสร็จ เราก็นัดกันไปร้องคาราโอเกะ

หลังจากออกจากร้านอาหารได้ซักพัก หญิงเริ่มมีความรู้สึกแน่นท้อง เริ่มต้องปลดกระดุมกางเกง แต่ก็ยังมองหาร้านไอศครีมที่อยากกินอยู่ และซื้อไปกินก่อนที่จะไปคาราโอเกะกัน

 

ระหว่างที่กำลังร้องคาราโอเกะกันอยู่ หญิงเริ่มมีความรู้สึกหายใจไม่ออก ปวดท้องหนักขึ้น ท้องเริ่มเกร็ง 

ตอนนั้นหญิงคิดว่า แค่เข้าห้องน้ำไปเดี๋ยวก็หาย

แต่มันไม่ได้เป็นไปตามนั้นค่ะทุกคน

พอหญิงไปเข้าห้องน้ำ มันไม่สามารถเอาอะไรออกมาได้เลย

มันแน่น มันจุก เริ่มขยับตัวไม่ได้ หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม มือเริ่มสั่น ท้องเริ่มรู้สึกเป็นตะคริว

หญิงโทรหาเพื่อน บอกว่าไม่ไหว ออกจากห้องน้ำไม่ได้ แต่ก็ต้องฉุดตัวเองให้ออกจากห้องน้ำ 

พอไปเจอเพื่อน หญิงแทบเป็นลม มันปวดท้อง มันขยับไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนท้องจะแตก เป็นช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเองจะไม่รอดแล้ว

เพื่อนรีบเรียกรถเข็นของห้างมารับข้างบนสยามพารากอน และไปส่งที่ห้องพยาบาลของสยาม 

พี่พยาบาลให้ยาช่วยย่อยมากิน เปิดท้องออกมาคือ ท้องตึงมากๆ เหมือนลูกโป่งที่กำลังใกล้แตก 

ผ่านไปประมาณ 45นาที หญิงเริ่มขยับตัวได้ เริ่มดีขึ้น และออกจากห้องพยาบาลเพื่อกลับบ้าน

ยังไม่จบค่ะ...

วันถัดมา อาการปวดท้องของหญิงยังอยู่ 

สองวันผ่านไป ก็ยังปวดท้องอยู่

สามวันผ่านไป ก็ยังปวดท้องอยู่ จนต้องตัดสินใจไปหาหมอ

หลังจากไปตรวจ หมอก็บอกว่า น่าจะเพราะว่ากระเพาะขยายมากเกินไป ทำให้ระบมและอักเสบ และเตือนไม่ให้กินเยอะแบบนั้นอีก

ข่าวร้ายคือ...

ข่าวร้ายคือ มันไม่ได้จบแค่ตรงนั้นน่ะสิทุกคน 

อาการบินจ์ของหญิงกลับมาเรื่อยๆ เป็นอาการนั้นอยู่ขั้นต่ำคือ 1-2 ครั้งต่ออาทิตย์ และเป็นแต่ละครั้งคือมีความทรมานที่คล้ายๆกัน ไม่ว่าจะปวดท้อง ตะคริวกินท้อง ต้องให้คนหายามานวดท้องให้ทุกครั้งที่ไปข้างนอก 

ที่สำคัญคือ หญิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอิ่มตอนไหน หิวตอนไหน

รู้แค่ถึงเวลาก็กิน จุกจนแน่น ถึงจะหยุด และทรมานทุกครั้งที่ออกนอกบ้านไปกินข้าว

เวลากินขนมแต่ละครั้ง จะรู้สึกว่า กินให้เยอะๆไปเลย เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่ได้กินแล้ว และหญิงก็จะกินขนมในปริมาณที่ ทุกคนเห็นน่าจะรู้สึกได้ว่าคนคนนี้จะเป็นเบาหวานในไม่ช้า

เป็นสองปีที่ฝันร้ายในชีวิตเลยค่ะ

IMG_0935.HEIC
IMG_2518.HEIC

ช่วงของการรักษา

ในช่วงหลังๆ หญิงเริ่มรู้สึกว่า ทำไมการใช้ชีวิตนอกบ้าน ใช้ชีวิตกับคนอื่น มันถึงยากขนาดนี้นะ

ทำไมเราไม่สามารถกินแบบคนปกติได้?

และหญิงก็ไปเจอคอนเทนท์ของฝรั่งคนนึง เกี่ยวกับ Eating Disorder

หญิงเข้าไปฟังเค้า มันคืออาการเดียวกับที่หญิงเป็นอยู่ตอนนั้นเลย !

แล้วต้องทำยังไงละ..? หาจิตแพทย์หรอ ? ที่บ้านไม่มีวันเข้าใจแน่นอนค่ะ เพราะจิตแพทย์ในมุมมองของบ้านคนจีน คือต้องเป็นคนบ้าเท่านั้นถึงไปรักษา

โชคดีมากที่หญิงอยากจะออกจากอาการนั้น หญิงเลยไปลงเรียนคอร์สต่างๆที่ช่วยเรื่องการพัฒนาตัวเอง และทุกคอร์สที่หญิงลง ก็ไม่พ้นกระบวนการที่เรียกว่า "Self-Love" คือกระบวนการที่ช่วยทำให้เรากลับมารักตัวเอง

และหลังจากนั้น หลายๆกระบวนการจากคอร์สที่หญิงไปลงเรียนมา ก็มีส่วนช่วยทำให้อาการกินผิดปกติของหญิงก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

 

นอกจากนี้หญิงยังเจอตัวช่วยที่เรียกว่า 'Essential oils' หรือ 'น้ำมันหอมระเหย' ของยี่ห้อ Young Living ที่ทำให้หญิงมีเครื่องมือในการจัดการอารมณ์ตัวเอง เคลียร์ความเครียด ความนอยด์ของตัวเองได้ไวมากๆ เป็นตัวช่วยหลักของหญิงที่ทำให้หญิงหายจากอาการบินจ์เลยค่ะ (ถ้าสนใจสามารถสอบถามหญิงเพิ่มได้ค่ะ)

 

ผ่านไป 1 ปี หญิงสามารถหายจากอาการบินจ์อีทติ้งได้อย่างถาวร (แต่แลกมากับการลงคอร์สไปหลักแสน และความสวิงขึ้นลงของอารมณ์ที่ต้องจัดการด้วยตัวคนเดียว) 

หลังจากนั้น หญิงก็ได้รู้ว่าคนที่เป็น Eating Disorder มีเยอะมากในไทย แต่คนที่มีความรู้ด้านนี้ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอาการยังน้อยมาก

 

วันนี้ ทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้โชคดีมากค่ะ เพราะทุกคนไม่ต้องไปงมหาวิธีที่ถูกต้อง วิธีที่จะช่วยฮีลตัวเองจากอาการนี้ เพราะหญิงได้รวบรวมกระบวนการทุกอย่างที่หญิงใช้ในการฮีลลิ่งตัวเอง และกระบวนการที่เรียนมาจากหลายๆศาสตร์ รวมถึงจากคอร์สที่หญิงจบ Certified มาเกี่ยวกับ Eating Disorder มารวมไว้ในคอร์สของหญิงแล้ว

ออกแบบมาโดยเฉพาะให้กับคนที่เป็น Eating Disorderในไทย

และหญิงมีเป้าหมายว่าจะทำให้อาการนี้เป็นที่รู้จักให้มากขึ้น และทำให้คนไทยรู้ว่าอาการนี้สามารถหายได้ด้วยการฮีลลิ่ง ไม่ใช่การกินยา

ถ้าวันนี้คุณพร้อมที่จะดีขึ้น และพร้อมเอาอิสระในการกินของตัวเองกลับคืนมาแล้ว

สามารถนัดหญิงปรึกษาฟรีแบบ 1:1 ได้เลยค่ะ

bottom of page